เมื่อคุณผ่านอะไรนัดหนามาทั้งวันแล้ว คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ทำสิ่งสบายๆ ที่เราชอบ และสำหรับผมมันคือการดูหนังครับ
มันก็อัดอั้นพอดูตอนไม่มี Blog เพราะอยากพิมพ์อัพหนังที่ดูมา หลังจากก่อนหน้านี้ขี้เกียจพิมพ์ แต่ตอนนี้พอเกิดความรู้สึกกลัวว่าจะสูญเสียบล็อคไป ไฟในการอัพรีวิวมันเลยพุ่งกระฉูดขึ้นมาจนได้ ก่อนที่มันจะมอดไปก็เลยต้องขอโอกาสมานั่งพิมพ์นั่งร่ายอย่างที่ชอบทำเสียหน่อย
ก็ต้องขอขอบคุณนะครับ เพราะตอนที่บล็อคใช้ไม่ได้ แต่ดูตัวเลขคนเข้าเข้าชมกลับไม่ได้ตายสนิทอย่างที่คิด ต้องขอบคุณจริงๆ ที่แวะเข้ามาชมกันอย่างสม่ำเสมอ
เข้าเรื่องหนังเลยนะครับ นอกเรื่องได้หลายบรรทัดแล้ว
ก็ขอเท้าความนะครับว่าช่วงก่อนๆ นี่ดูหนังน้อยมาก เพราะงานเริ่มสุม ทีนี้ไฟใตนตัวเลยเริ่มน้อย ความอยากดูหนังเริ่มลดจนกระทั่งลองมาจัดการให้ตัวเองมีระเบียบดูหนังอย่างน้อยวันละเรื่อง มันก็ค่อยโอเคหน่อย เซลล์สมองที่หลับไหลค่อยฟื้นมานิดนึง
สาเหตุหนึ่งที่ผมขี้เกียจดูหนังจริงๆ มาจากความที่ติดครับ คือดูหนังแล้วติดชอบคิด ทีนี้พอเป็นแบบนี้มากๆ บางทีมันก็ล้า จนทำให้ผมลดการดูหนังลง เพราะขี้เกียจดูไปคิดไป แต่ตอนนี้ก็โอเคหน่อย ที่ทำให้ใจมันสบายๆ ไม่เห็นต้องซีเครียดกับมันให้หนักหัว
จริงๆ ตัวเราเองนี่แหละครับที่เป็นคนกดดันตัวเอง บางสิ่งบางอย่างทำอย่างสบายๆ มันก็ได้ผลดีกว่าทำอย่างกดดันด้วยซ้ำไป แต่เพราะหลายๆ อย่าง อาจจะด้วยหัวหน้า ด้วยค่าตอบแทนมันค้ำคอจนในที่สุดเราก็ค่อยๆ เสียความเป็นตัวเองไปเพราะอยากทำงานออกมาให้เป็น Masterpiece และลงเอยด้วยการเป็นใครที่ไม่ใช่เรา อันส่งผลให้ผลงานที่เราเคยทำได้ดีค่อยๆ กลายเป็นเหมือนสิ่งแปลกหน้าสำหรับเราไป
ที่ร่ายนี่ส่วนหนึ่งก็เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และอีกส่วนหนึ่งคือบอกกับตัวเอง ว่าเลิกกดดันตัวเองเถอะ ทำอย่างที่เราชอบไป อันไหนไม่ดีก็ปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วมันจะลงตัวเอง เหมือนตัดกิ่งต่อก้านต้นไม้ ไม่ใช่ว่าเราเอาก้านไปทาบแล้วมันจะงอกต่อได้ที่ไหน มันต้องใช้เวลาผสมผสานกว่ามันจะเข้ากันเป็นเนื้อเดียว เช่นกันการจะเปลี่ยนอะไรแบบหักดิบในฉับพลันมันก็อาจจะทำให้เสียหายมากกว่าได้ผล
ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม … กินของอร่อยให้ใจเย็นๆ … โบราณพร่ำสอนเราเสมอให้ใจเย็นไปตามธรรมชาติ แต่เรานั่นแหละที่ชอบลืม
ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับหนังนะครับ แต่มันก็เป็นความรู้สึกหนึ่งเหมือนกัน เพราะ Anchorman เรื่องนี้ถ้าผมดูด้วยสมองที่หวังสาระล่ะคงบ่นไม่มีดี เพราะหนังมันเน้นฮาเป็นสรณะ ก็ถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่ผมดูเรื่องนี้ เพราะมันทำให้ผมหัวเราะโดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
หนังเล่าถึงชีวิตของ รอน เบอร์กันดี (Will Ferrell) นักข่าวหมายเลขหนึ่งที่ทำงานดีไม่มีพลาด และเป็นขวัญใจชาวเมือง ทุกอย่างดูจะไปได้ดีจนกระทั่งการมาของแม่สาวคนใหม่ที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักข่าวหญิงคนแรก เธอคือ เวโรนิก้า คอร์นนิ่งสโตน (Christina Applegate) แล้วในที่สุดการชิงไหวชิงพริบเพื่อเป็นนักข่าวหมายเลขหนึ่งก็เริ่มเดินเครื่อง
จริงๆ ของขึ้นชื่อว่า Will Ferrell แสดงนำ เราก็แทบจะไม่ต้องสงสัยอะไรแล้วนะครับ หนังมันต้องฮาผสมลามกบวกกับติงต๊องหน่อยๆ แน่นอน แล้วก็เป็นไปตามนั้นเลยครับ หนังทำได้ฮาลื่นมากๆ พี่ Will ก็เหมือนเดิม ทำท่าบ้องแบ้วบ้าง หื่นบ้าง ไอ้ฉากที่น้องชายพี่แกตั้งตรงเคารพธงชาตินั่นก็ฮาสุดๆ ครับ ไม่ถ่อยเกินงาม ลามกแบบไม่อุจาด ซึ่งอันนี้ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งในหนังของพี่แกนะ แม้จะมีฮาทะลึ่งบ้างแต่พี่แกก็สามารถกล่อมเกลาให้มุขมันออกไปในโทนน่ารักได้ ไม่ได้ห่ามสุดๆ เหมือนพวก Scary Movie
แต่ส่วนที่เด็ดจริงๆ ของหนังต้องยกให้พวกดาราสมทบครับ ที่มันบ้ากันทุกตัว ไม่ว่าจะ Paul Rudd ในบท ไบรอัน แฟนตาน่า นักข่าวโคตรเจ้าชู้, David Koechner ในบทแชมป์ ไคน์ นักขาวกีฬาที่เอะอะก็คิดแต่เรื่องใต้สะดือ แต่รายที่บ้าสุดๆ ต้องนี่ครับ พี่ Steve Carell ในบทบริก แทมแลนด์ที่ฮาสุดขั้ว มุขสารพัดโผล่มาเพราะพี่แกนี่แหละครับ แกมาแบบใสซื่อมากๆ นึกภาพตอนใน The 40 Year Old Virgin ได้ไหมฮะ อันนี้น่ารักแบบไร้เดียงสา แต่อันนี้น่ารักแบบปัญญาอ่อน แค่ฉากที่พี่ท่านไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาระเบิดมาจากที่ไหนนั่นก็ฮาสุดๆ ไปเลย
ความสนุกกว่าครึ่งมาจากดาราสมทบที่มาเพื่อบ้าครับ ส่วนนางเอกอย่าง Applegate ก็สวยและน่าเชื่อว่าเธอมาเพื่อเป็นนักข่าวจริงๆ แต่ยังไม่หมดนะครับ ยังมีดาราดังๆ โผล่มาในหนังอีกเพียบ (ก็ไอ้พวกที่ชอบโผล่มาในหนังของพี่ Farrell ไงครับ) อันนี้ขออุบไว้ครับ ไปดูไปลุ้นกันเอง แต่รับประกันว่าฮาแบบไร้สาระจริงๆ
สนุกฮาแตกอย่างแรงครับ ก็ถ้าใครชอบหนังตลกสไตล์พี่ Ben Stiller หรือ Will Farrell ล่ะก็ไม่ต้องคิดมาก ดูได้เลยครับกับหนังสนุกเรื่องนี้