“เรากำลังเคลื่อนทัพเข้าไปยังหุบเขามรณะ พวกคุณจะต้องคอยดูแลคนที่ยืนอยู่ข้างหน้านาย ซึ่งขณะเดียวกัน เขาก็จะคอยดูแลคุณด้วย พวกคุณจะต้องไม่ใส่ใจว่า เขาจะมีสีผิวอะไร หรือ จะเอ่ยพระนามของพระเจ้าว่าอย่างไร เรากำลังเดินสู่สมรภูมิ เพื่อทำศึกกับศัตรู ที่มีความมุ่งมั่นและอดทนเป็นเลิศ ผมไม่สามารถให้สัญญาพวกคุณได้ว่า ผมจะนำพวกนายกลับบ้านได้ทุกคน แต่ผมก็ขอสาบานว่า เมื่อเราเข้าสู่สมรภูมิรบ ผมจะเป็นคนแรกที่เข้าไป และจะเป็นคนสุดท้ายที่ออกมา ผมจะไม่ทิ้งใครก็ตามไว้ข้างหลัง ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นหรือตาย เราทั้งหมดจะกลับบ้านด้วยกัน”
ทั้งหมดเป็นคำพูดของ พันเอก ฮัล มัวร์ (เมล กิ๊บสัน) ที่ได้กล่าวไว้ต่อหน้าเหล่าทหาร และครอบครัวของพวกเขา ที่อยู่ต่อหน้าเขา คือเด็กหนุ่มที่ยังอ่อนเดียงสาต่อสงคราม และชายฉกรรจ์ที่มีบาดแผลจากสงคราม
ท่ามกลางผู้ที่นั่งฟังสุนทรพจน์ของมัวร์ ก็มีภรรยาของเขาที่ชื่อ จูลี่ (เมเดลีน สโตว์) รวมอยู่ด้วย เมื่อคืนนี้ เธอเห็นสามีของเธอตื่นขึ้นกลางดึก เพื่ออ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวกับการสังหารหมู่ และยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพ สำหรับกองพันทหารม้าที่เจ็ดของเขา อันเป็นกองพันเดียวกันกับที่ พลเอกจอร์จ อาร์มสตรอง เคยคุมมาแล้ว
ในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน ปี 1965 เวลา 10.48 น. พันเอก ฮัล มัวร์ และกองพันของเขา ได้ย่างกรายเข้าสู่เขตสมรภูมิในหุบเขา ลาดรัง หรือที่ชาวเวียดนามรู้จักกันดีในชื่อ ‘หุบเขามรณะ’ ด้วยความที่เป็นนายทหารที่ยึดมั่นในคำพูด นายพันมัวร์เป็นผู้ก้าวเท้าลงบนสนามรบเป็นคนแรก และได้พบว่า เขาและทหารในสังกัดของเขา ประมาณ 400 คน ถูกล้อมโดยทหารเวียดนามเหนือกว่า 2,000 นาย
สงครามครั้งนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในสงครามที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และถือเป็นการปะทะกันครั้งแรกระหว่างทหารฝ่ายเวียดนามเหนือและสหรัฐอเมริกา